Hotline : 088-874 8702-3
  Email: [email protected]

ประโยชน์ของไวน์ ดีต่อสุขภาพอย่างไร

เผยแพร่ : 2018-10-03
อ่าน : 7921 ครั้ง
ประโยชน์ของไวน์ ดีต่อสุขภาพอย่างไร

ประโยชน์ของการดื่มไวน์

" ประโยชน์ของไวน์ "  ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ ดื่มกันมาหลายพันปี และได้มีพัฒนาการผลิตการหมักบ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันทำให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น  เราเคยได้ยินกันมาบ้าง ว่าการดื่มไวน์ ในปริมาณที่พอเหมาะและสม่ำเสมอ โดยพื้นฐานทั่วไปก็คือผู้ชายวันละ 2 แก้ว ผู้หญิงวันละ 1 แก้ว จะทำให้มีผลดีต่อสุขภาพ และลดการเกิดโรคหลายชนิดได้ ที่ผ่านมามีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยัน ประโยชน์ของไวน์ ในด้านต่าง ๆ

ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โรคเกี่ยวกับเหงือก

วารสาร American Journal of Agricultural and food Chemistry ได้ตีพิมพ์รายงานของ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปาเวีย ประเทศอิตาลี ออกมาเปิดเผยถึงผลของการดื่มไวน์ขาวหรือไวน์แดงวันละ 1 แก้ว เป็นประจำว่ามีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โรคเกี่ยวกับเหงือก

ศ.กาเบรียลลา กาซซานี ผู้ริเริ่มการวิจัยเรื่องดังกล่าว ระบุว่าขณะที่สรรพคุณของไวน์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวกรีกโบราณ ซึ่งมักจะใช้ไวน์ในการรักษาบาดแผล แต่ก็มีผู้ทำการศึกษาอย่างจริงจังถึงคุณประโยชน์ของไวน์ไว้น้อยมาก

นอกจากช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุแล้ว ส่วนผสมของไวน์ยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้ด้วย

ช่วยชะลอความแก่และช่วยป้องกันหวัด

ขณะที่นักวิจัยจากประเทศสเปนแนะว่าการดื่มไวน์แดงอาจช่วยชะลอความแก่ หลังพบสารเมลาโทนินในผิวองุ่น รวมถึงอาหารอีกหลายชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ข้าว และเชอรี่ สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะเริ่มกินตั้งแต่อายุย่างเข้า 30 ปี นอกจากนั้นนักวิจัยชุดดังกล่าวยังพบประโยชน์ของไวน์แดงต่อสุขภาพอีกอย่างหนึ่ง คือช่วยป้องกันหวัดได้ 

โดยระบุว่า ส่วนประกอบที่มีอยู่ในไวน์แดง อาจมีคุณสมบัติช่วยป้องกันหวัด ในขณะที่คุณสมบัตินี้ ไม่มีในเบียร์ และน้ำอื่น ๆ ผลการศึกษาดังกล่าวนี้ ได้มาจากการศึกษาอาสาสมัคร 4,000 คน เป็นเวลา 1 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย 5 แห่งพบว่า ผู้ที่ดื่มไวน์แดงมากกว่าวันละ 2 แก้ว เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มไวน์เลยถึงร้อยละ 44 และการดื่มไวน์แดงเพียงวันละ 1 แก้วก็สามารถป้องกันหวัดได้แล้ว 

ก่อนหน้านั้นศูนย์โรคหวัดแห่งมหาวิทยาลัย คาร์ดีฟ เคยมีรายงานว่า คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อาจทำให้ไวน์แดงสามารถป้องกันหวัดได้ 

นอกจากนั้นปัจจัยด้านการดำรงชีวิต เช่น การจิบไวน์แดงที่บ้าน แทนที่จะเป็นตามผับที่มีผู้คนมากมาย ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันหวัดได้

ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด

ส่วนสมาคมโรคหัวใจอังกฤษระบุว่า การดื่มในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากดื่มมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ จากการศึกษาพบว่าการดื่มไวน์วันละ 1-2 แก้วให้ผลในการป้องกันโรคหัวใจวาย ในผู้ชายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน แต่การดื่มในปริมาณมาก ๆ กลับเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด 

นายมิเชล เดอ ลอร์เจอริล และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโจเซฟ ฟูริเย ในประเทศฝรั่งเศส พบว่าชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสที่เป็นโรคหัวใจและนิยมดื่มไวน์วันละประมาณ 2 แก้ว ร้อยละ 50 มีพัฒนาการของการก้าวไปสู่โรคหัวใจ ขั้นที่สองน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มไวน์เลย 

นอกจากนั้นคณะวิจัยชุดดังกล่าว ยังได้ศึกษาชายอายุระหว่าง 40-30 ปีจำนวน 353 ราย ที่เพิ่งป่วยด้วยโรคหัวใจ และพบว่าอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดขึ้นจะมีอัตราน้อยลงในกลุ่มผู้ป่วยที่ดื่มไวน์ โดยกลุ่มชายที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย จะมีอาการแทรกซ้อนมากถึง 36 อาการ ส่วนชายที่ดื่มน้อยกว่า 2 แก้วต่อวันมี 34 อาการ กลุ่มชายที่ดื่มราว 2 แก้วต่อวันมี 18 อาการ และกลุ่มชายที่ดื่มโดยเฉลี่ย 4-5 แก้วต่อวันมีอาการแทรกซ้อน 16 อาการ 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประโยชน์ของไวน์ โดยเฉพาะในไวน์แดง มีแทนนินหรือความฝาด ที่มีสารบางชนิด ซึ่งนอกจากจะป้องกันการเกิดโรคหัวใจแล้ว ยังช่วยลดปริมาณคอเลส เตอรอลในเส้นเลือด ซึ่งคอเลสเตอรอลนี้เมื่อมีอยู่ในเส้นเลือดมาก ๆ จะทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจไม่สะดวก โดยเฉพาะคนที่อ้วนมาก ๆ 

แฟร้งค์ โจนส์ (Frank Jones) แนะนำไว้ในหนังสือ “The Save Your Health Wine Guide” ในบทที่ชื่อ “เลือกไวน์อะไรดี” บทความดังกล่าวระบุว่า สรรพคุณของไวน์แดงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อดื่มในปริมาณพอดีอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยไวน์ก็เป็นเครื่องดื่มแทนน้ำที่มีการฆ่าเชื้อ (Anticeptic) มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 

ขณะที่แอลกอฮอล์ในไวน์ระดับ 8 – 9 ดีกรี เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่น อารมณ์สุนทรี มีความเพลิดเพลิน คนสูงอายุที่เป็นโรค ไม่ค่อยชอบบริโภคหรือเป็นโรคเบื่ออาหาร ไวน์จะเป็นตัวช่วยย่อยอาหารที่ดี และช่วยบำบัดความรุนแรงของโรคเบาหวาน (Diabetes) โรคมะเร็ง (Cancer) โลหิตจาง (Anaemia) โรคหัวใจ (Heart Trouble) และช่วยบำบัดโรคความดันโลหิตต่ำได้ดี 

สมาคมแพทย์อเมริกันรายงานผลการวิจัยเมื่อประมาณปี 2001 -2002 เกี่ยวกับอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจวายหรือโรคหัวใจล้มเหลว ว่าไวน์แดงมีส่วนทำให้ความเหนียวข้นของไขมันของ “คอเลสเตอรอลตัวเลวร้าย” หรือ Lp (a) ที่มีอยู่ในเกร็ดเลือดลดระดับลง เกร็ดเลือดจะใสไม่เหนียว ทำให้ไม่จับตัวอุดตันตามผนังภายในของหลอดเลือด กระแสเลือดจะวิ่งลื่นไหลไปได้อย่างคล่องตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานเบาลงไม่หักโหม 

การดื่มไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะประมาณ 1 – 3 แก้วอย่างสม่ำเสมอทุกวันเหมือนชาวฝรั่งเศสปฏิบัติกันเป็นปกตินิสัย ทำให้ชาวฝรั่งเศสมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคหัวใจล้มเหลวลดลงถึง 50 % แม้ชาวฝรั่งเศสจะบริโภคอาหารหลายชนิดมีไขมันมากบ่อย ๆ เช่นเนื้อ หนัง เครื่องใน นมเนย และแป้งต่าง ๆ เป็นปริมาณมากตลอดเวลาก็ตาม คอไวน์ชาวฝรั่งเศสมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย หรือ Angina ต่ำมากเมื่อเทียบกับชนชาติอื่น ๆ ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ส่วนไวน์ขาวนอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังทำให้อาหารทะเลมีรสชาติถูกปากอร่อยลิ้น ที่สำคัญมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารและสามารถกำจัดพิษจากอาหารทะเลที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่สำคัญในระยะหลังปี 2005 เป็นต้นมา มีความพยายามในการทำให้ไวน์ขาวมีแทนนินเพิ่มขึ้นบ้าง 

ขณะที่งานวิจัยของมูลนิธิโรคหัวใจ จอร์แดน ของสหรัฐฯ พบว่า ไวน์ขาวมีสรรพคุณช่วยล้างพิษของบรรดาตัวอนุมูลอิสระได้สูงถึง 34 % ขณะที่ไวน์แดงสามารถช่วยได้เพียงครึ่งเดียว แต่การจะได้ประโยชน์จากไวน์ขาวอย่างแท้จริง ต้องดื่มวันละไม่เกิน 2 แก้ว 

ส่วนไวน์แดงมีสาร 2 ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือเรสเวอราทรอล (Resveratrol) หรือทรานส์เรสเวอราทรอล (Transresveratrol) และแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีอยู่ในเปลือกเม็ดและก้านองุ่น สามารถบรรเทาและบำบัดความเสื่อมโทรมของหลอดเลือดได้ดี รวมทั้งยับยั้งและชะลอ การสร้างสารที่ทำให้เกร็ดเลือดเหนียวตัว และจับตัวกันให้ช้าและน้อยลง ขณะเดียวกันก็ช่วยไม่ให้ออกซิเจนในร่างกายของคนเราเสีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดแข็งตัว สาร 2 ตัวดังกล่าวมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับฤทธิ์และสรรพคุณของยาแอสไพริน (Aspirin) ที่มีต่อเกร็ดเลือดซึ่งทำให้หายเหนียว 

สารนี้มีมากในผักสด และผลไม้รสฝาดขม เช่น ฝรั่ง แอปเปิล พุทรา มะม่วงดิบ ชา มะระ องุ่น และชะอม ฯลฯ และแน่นอนใน “ไวน์แดง” สอดคล้องกับงานวิจัยของหลายหน่วยงาน ที่ระบุว่าไวน์มีประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหัวใจและโรคอื่น ๆ มากที่สุด คือไวน์ที่มีระดับ Resveratrol สูง และไวน์แดงจะมีมากกว่าไวน์ขาว

เนื่องจากไวน์ขาว ใช้เฉพาะน้ำองุ่นมาหมัก ขณะที่ไวน์แดงมีทั้ง เปลือก เมล็ด กิ่ง ก้าน ไวน์ที่ผลิตโดยไม่มีการกรอง (Unfilter) หรือกรองน้อยที่สุด จะมี Resveratrol สูงกว่าไวน์ที่กรองจนใส ที่เหลือเชื่อก็คือไวน์ราคาแพง ๆ แต่กลับพบว่ามี Resveratrol ต่ำ 

เพราะไวน์เหล่านี้ถูกหมักในถังโอ๊ก กระบวนการผลิตไวน์ชั้นดี มักจะเป็นการลดปริมาณ Resveratrol โดยไม่รู้ตัว กรณีพันธุ์องุ่นพบว่า ปิโนต์ นัวร์,ปิโนทาจ และกาแบร์เนต์ โซวีญยอง จากแหล่งปลูกที่มีแสงแดดน้อยและอากาศเย็น เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และ 3 แคว้นของฝรั่งเศสคือบูร์กอญหรือเบอร์กันดี ลัวร์ และอัลซาส จะมี Resveratrol สูงกว่าในออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย อิตาลี และสเปน

ช่วยป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมหรืออัลไซเมอร์

สถาบันการแพทย์ Erasmus Medical Center ประเทศเนเธอร์แลนด์ เผยแพร่งานวิจัยภายใต้หัวข้อ Alcohol Consumption and the Risk of Dementia : the Rotterdam Study ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2545 โดย Dr.Monique Breteler เป็นหัวหน้าทีมวิจัย พบว่า การดื่มไวน์จะช่วยป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer) และพาร์กินสัน (Parkinson) ได้ 

หลังจากที่มีผลการวิจัยเผยแพร่มาตลอดว่า ไวน์ช่วยป้องกันโรคหัวใจและ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทีมงานวิจัยได้ศึกษาคอไวน์ 7,983 คน ซึ่งดื่มไวน์เป็นประจำวันละ 1 – 3 แก้ว ระหว่างปี 1990 – 1999 พบว่าบุคคลดังกล่าวไม่เป็นโรค อัลไซเมอร์ และโรค พาร์กินสันแต่อย่างใด ก่อนหน้านั้นวันที่ 15 พ.ค.1997 นักวิจัยฝรั่งเศสก็เคยพบว่าการดื่มไวน์วันละ 1 – 3 แก้ว สามารถป้องกันโรค อัลไซเมอร์ได้เช่นกัน 

ปี 2006 ดร.กุยลิโอ มาเรีย พาสเนตตี นักวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์เมาท์ ซิไน ในนิวยอร์ก จับหนูตัวผู้ตัวเมียมาดื่มไวน์ทุกวัน โดยตัวเมียให้ดื่มวันละ 1 แก้ว ส่วนตัวผู้ให้ดื่มวันละ 2 แก้ว ซึ่งเป็นปริมาณบริโภคที่เหมาะสมตามที่กระทรวงเกษตรสหรัฐแนะนำ สำหรับแอลกอฮอล์ที่นักวิจัยให้หนูดื่มนั้น เป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นแดง โดยผสมน้ำให้ดื่มเป็นเวลา 7 เดือน ส่วนหนูอีกกลุ่มที่เป็นกลุ่มควบคุมให้ดื่มเฉพาะน้ำเปล่า หนูทั้งหมดนี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีภาวะสมองเสื่อมที่เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ 

จากนั้นได้ทดสอบความทรงจำ โดยจับลงไปอยู่ในกล่องเขาวงกต ปรากฏว่าหนูที่ดื่มไวน์สามารถเรียนรู้และหาทางออกจากเขาวงกตได้เร็วกว่าหนูกลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่า ดร.กุยลิโอ ย้ำว่าว่าการดื่มไวน์ในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับหัวใจ และในกรณีของผู้สูงอายุที่ไม่ได้เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ตับอักเสบ สุราเรื้อรัง หรือปัจจัยอื่นๆ หากหันมาดื่มไวน์แดงอย่างพอเหมาะก็จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงได้ 

การดื่มไวน์มีประโยชน์ 

การเก็บไวน์ให้ถูกวิธีเพื่อรักษา ประโยชน์ของไวน์

การเก็บรักษาไวน์ก็เช่นกัน หากเราเก็บไม่ดี ไม่ถูกต้องรสชาติของไวน์ ก็จะสูญเสียรสชาติและคุณภาพด้อยไป เพราะไวน์แต่ละชนิด มีวิธีการดูแล การเก็บรักษา และอุณหภูมิการเก็บที่เหมาะสมแตกต่างกัน ไวน์แดงควรเก็บอยู่ที่อุณหภูมิ 55-65 องศาฟาเรนไฮท์ หรือ 12-18 องศาเซลเซียส และไวน์ต้องไม่สั่นสะเทือนตลอดเวลา ในการเก็บหรือการแช่ไวน์ เราควรมองหา ตู้แช่ไวน์ โดยเฉพาะจะดีกว่าตู้เย็นหรือตู้แช่ไวน์ที่ใช้ Compressor  เพราะจะเกิดอาการสั่นของตู้ได้

ข้อมูลจาก : thawatchaiguru.com


หากท่านต้องการสั่งซื้อหรือปรึกษา สั่งซื้อตู้แช่ไวน์โรงแรม
สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เอนริช โฮเต็ล โปรดักส์ จำกัด
Tel : (02) 589-5477-8, (02) 950-1404-5
Mail : [email protected]